เทศน์พระ

ตาบอด

๗ มี.ค. ๒๕๕๕

 

ตาบอด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

กาลเทศะ ถ้ากาลเทศะ เห็นไหม ฆราวาสกับสังฆะ มันต้องอยู่ด้วยกัน บริษัท ๔ ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา เราอยู่ด้วยกัน ถ้าผู้มีหลักจะนำ โคนำฝูงจะเอาฝูงโคนั้นออก จะขึ้นฝั่งได้ ถ้าผู้นำไม่มีหลัก ดึงกันลงต่ำหมด มันจะคลุกคลีกัน มันจะดึงกันไป แล้วไปไม่รอด ถ้าจะไปรอดนะ เวลาเราไม่เข้าใจสิ่งใด เราโดนครูบาอาจารย์ตำหนิ เราจะมีความขุ่นใจมาก แต่ถ้าวันไหนหูตาสว่างขึ้นมานะ กราบแล้วกราบเล่าๆ ถ้าหูตามันสว่างขึ้นมา แต่ถ้าหูตาไม่สว่างนะ มันจะขุ่นใจอยู่อย่างนั้นน่ะ

นี่ไง ทางโลกเขาว่าเป็นไปตามวัย วัยของเด็กมีความรู้ได้แค่นั้น วัยทำงาน วัยผู้แก่ผู้เฒ่า ผู้แก่ผู้เฒ่าเขาเห็นแล้วเขานั่งยิ้มนะ เราก็เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนๆ นี่เป็นไปตามวัย แต่เวลาความรู้สึกนึกคิด มันเป็นไปตามวัยของกิเลสมันปิดกั้นไว้ ถ้ามันปิดกั้นไว้นะ เราไม่เข้าใจเอง แต่เราไม่เข้าใจเองนะ ถ้าทางโลกก็เหมือนกับว่า เราเข้าใจผิด ก็เราไม่เข้าใจเอง เราเข้าใจผิด พอเราเข้าใจผิด เราว่าเราถูก พอเราถูก เห็นไหม กิเลสมันเสริม มันเสริมมันก็เกิดอารมณ์ขุ่นมัว เกิดตะกอนในหัวใจ เกิดต่างๆ

แต่เวลาเราบวชมา เราประพฤติปฏิบัติมา เราปฏิบัติมาเพื่อจะชำระกิเลส ทุกคนชาวพุทธเข้าใจได้ว่า อวิชชาพามาเกิด ทั้งๆ ที่ว่าจิต สัจธรรม มันปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธินี่เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ กำเนิด ๔ นี่มันไปของมันโดยธรรมชาติของมัน

ทุกคนก็ถามว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ทำไมหลวงพ่อบอกว่าธรรมะมันเหนือธรรมชาติ?”

ธรรมะเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติคือสัจธรรม แต่ถ้าสัจธรรมนะ ธรรมชาติก็โดยสัจจะ เห็นไหม ดูสิ ดูทางเคมี ในเมื่อมันมีปฏิกิริยา มันก็ต้องให้ผลตอบเป็นอย่างนั้น แล้วมันรู้อะไรล่ะ มันเป็นธาตุ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต นี่ไง มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่ถ้าสิ่งที่มีชีวิตล่ะ มันมีมันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่มันรู้มากกว่านั้น มันถึงปล่อยวางธรรมชาติไว้ได้ เพราะธรรมชาตินะ การเกิดและการตาย การเวียนไปในธรรมชาตินะ ถ้าธรรมชาติ รู้จากธรรมชาติ ธรรมชาติน่ะ นักวิทยาศาสตร์เขาก็รู้ของเขา เขาเข้าใจของเขา ดูสิ ในจักรวาลเขาอธิบายได้หมดน่ะ แต่เวลาล่ะ เวลาที่ว่ามันเป็นไป

แต่ถ้าเวลาปัจจุบัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เทศนาว่าการ เอหิภิกขุ บวชให้เองนะ วันนี้วันมาฆบูชา วันมาฆบูชา พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ เป็นเอหิภิกขุ คือว่าบวชจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บวชให้ สอนให้จนเป็นพระอรหันต์ ไม่ได้นัดหมายกัน จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความระลึกถึงคุณ พอไปถึง ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปด้วยกัน ไม่ได้นัดหมาย เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ โอวาทปาฏิโมกข์ “อนูปวาโท อนูปฆาโต” ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเท็จ ไม่พูดต่างๆ เราจะทำจิตให้ผ่องแผ้ว ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเท็จ เราก็บอกว่า เวลาครูบาอาจารย์ที่ตำหนิ ส่อเสียดหรือเปล่า...ไอ้นี่ไม่ได้พูดส่อเสียด ไอ้นี่มันจะเสียดสีกิเลสไง ไอ้นี่มันจะทิ่มเข้าไปสู่กิเลส ทิ่มเข้าไปสู่สิ่งที่อวิชชา ที่ความไม่รู้ในหัวใจนั้น มันไปส่อเสียดใคร มันจะฆ่ากิเลสต่างหากล่ะ แต่กิเลสมันทะนุถนอมตัวมันเองนะ

เขาบอกว่า ไม่ให้พูดส่อเสียด แล้วเวลากรรมฐาน เวลาเทศนาว่าการนี่ทั้งดุทั้งด่า แล้วไม่ส่อเสียด ไม่กล่าวร้าย ไม่กล่าวว่าใคร

เขาไม่ได้ว่าใคร เขาว่ากิเลส กิเลสในหัวใจของสัตว์โลกน่ะ ถ้ากิเลสในหัวใจของสัตว์โลก แล้วอวิชชามันปิดตามันไว้ มันไม่เข้าใจ

ลูกของเรานะ เวลาลูกของเรามันจะทำผิดพลาดไป มันจะทำเสียหายไป พ่อแม่คนไหนจะใจดำ ไม่กล่าวเตือน ไม่บอก จะปล่อยให้ลูกเราเสียหายไปอย่างนั้น พ่อแม่คนไหนจะใจดำ จะยอมรับความเป็นไปของลูก ให้ลูกทำตามใจของตัว เป็นไปไม่ได้หรอก พ่อแม่คนไหนก็ต้องบอก

“พ่อแม่ส่อเสียดนะ พ่อแม่กล่าวเท็จ”...เพราะลูกไม่เข้าใจ นี่ความเห็นของโลก

การตีความในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “อนูปวาโท อนูปฆาโต” ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเท็จ ไม่พูดต่างๆ นี่เวลาพูดอย่างนั้นก็ต้องเป็นมารยาสาไถย ออเซาะ ฉอเลาะ ลูบๆ คลำๆ ตาบอดคลำช้าง พูดนุ่มนวลอ่อนหวาน พูดนุ่มนวลอ่อนหวานนะ กิเลสมันก็ชอบ นี่กิเลสมันชอบอย่างนั้น กิเลสมันชอบน้ำตาล หวานเป็นลม ขมเป็นยา สิ่งใดที่มันเป็นสิ่งที่หอมหวาน สิ่งใดที่ทำให้นอนใจ สิ่งใด นี่ครูบาอาจารย์เราไม่ทำ ครูบาอาจารย์ของเรานะ จะทำให้เราตื่นตัวตลอดเวลา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ความประมาทเลินเล่อ เป็นโอวาทครั้งสุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเราจะทำให้ตื่นตัวตลอดเวลา การให้ตื่นตัวตลอดเวลาคือการฝึกสติตลอดเวลา ถ้าการฝึกสติตลอดเวลา เห็นไหม เราจะมีโอกาส จะทำให้เราไม่พลัดพราก ผิดพลาดพลั้งไป เวลามันพลัดพรากไปเพราะอะไร เพราะความคุ้นเคย

นี่ไม่เป็นไร ความคุ้นเคยนี่ มันไม่เป็นไร เป็นไฟไม่เป็นไรได้อย่างไร ใครไปอิจฉาคนที่เป็นโรคร้าย คนที่โรคร้าย เราไปอิจฉาเขาทำไม เขาบอกนี่อิจฉานะ เห็นเขาทำดีก็ตาแดงๆ มันจะไปอิจฉาอะไร อิจฉาสิ่งที่ทำให้ลงนรกอเวจี ใครไปอิจฉา ถ้ามันทำคุณงามความดี เราน่าจะอิจฉาบ้าง สิ่งที่ทำ อิจฉานะ อู๊ย พูดจาเสียงรุนแรง พูดจา...

เขากล่าวเตือน เขากล่าวบอกน่ะมันเป็นประโยชน์นะ เพราะอะไร เพราะว่าตาบอดคลำช้าง ถ้าตาบอด มันทำลูบๆ คลำๆ เราลูบๆ คลำๆ เพราะตาบอด เราจะไม่รู้สิ่งใดเลย...ช้างเป็นอย่างไร ช้างเป็นอย่างไร ช้างเป็นเหมือนท่อนเสา ช้างเหมือนถ่าน นี่ใครไปจับตรงไหนก็ช้างเป็นอย่างนั้น นี่ตาบอดคลำช้าง ถ้าเราหัวใจบอดนะ หัวใจบอด การกระทำของเรามันจะไปไหน ทั้งๆ ที่เราตั้งใจกันอยู่นี่

วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา เราก็อยากจะให้ตัวเราสำคัญเหมือนกัน ถ้าเรามีคุณค่าในตัวของเรานะ เราจะมีสติสัมปชัญญะ เราจะระลึกรู้สึกตัวของเรา เราจะอยู่ในสถานะไหนก็แล้วแต่ เห็นไหม สถานะของโลก ในเมื่อปัจจุบันมันเป็นสถานะอย่างนี้ ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เริ่มต้นจากสถานะเรานี่แหละ ใครจะเห็นคนอื่นดีกว่าเรา ใครจะเห็นคนอื่นดีกว่าหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้สำนึกได้เดี๋ยวนี้ ถ้าสำนึกได้เดี๋ยวนี้มันก็ทำดีเดี๋ยวนี้ ถ้าทำดีเดี๋ยวนี้นะ มันก็ก้าวเดินออกจากเดี๋ยวนี้ ก้าวเดินจาก...

ในสถานะไหนนะ ทุกคนจะบอกว่า ไม่ได้บวชพระบวชเจ้า เราไม่มีโอกาส เราเกิดมาไม่มีวาสนา เราก็มีวาสนาน้อยต่างๆ นี่สิ่งนี้ ตาบอดคลำช้าง เวลากิเลสมันจะหลอกลวงเรานะ มันจะเอายาสลบโปะใส่จมูกของเรา ให้เราเคลิบเคลิ้มไปในความรู้สึกของเขา นี่ก็เหมือนกัน น้อยเนื้อต่ำใจไปเรื่อยว่าเราไม่มีโอกาสอย่างนั้นนะ แล้วเวลาเรามีโอกาสขึ้นมา ตอนนี้เราเป็นพระแล้ว เรามีโอกาส เวลาเป็นพระขึ้นมา เราบวชเป็นพระ โดยสมมุติสงฆ์ บวชมาอุปัชฌาย์ ญัตติจตุตถกรรมขึ้นมาเป็นพระแน่นอน พระยกเข้าหมู่มาแล้ว ทำสิ่งใดในสังฆกรรมนี่ได้ด้วยสะอาดบริสุทธิ์ นี่ไง เป็นพระขึ้นมาแล้ว แล้วบวชใจเป็นพระไหม หัวใจเรามันสะอาดบริสุทธิ์ตามที่เราคาดคิดไหม

ทุกคนคาดหมายนะว่าเราบวชแล้วเราจะตั้งใจทำจริงทำจังของเรา แล้วบวชขึ้นมาแล้วเราก็ทำจริงทำจัง ทำจริงทำจังมันก็เป็นกิริยา เห็นไหม เวลามัชฌิมาปฏิปทา อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค ตกไปทางสองส่วน ตกขอบไปทั้งซ้ายและขวา แล้วมัชฌิมาปฏิปทาจะทำอย่างไร นี่ก็เหมือนกัน เราทำทุกอย่างครบแล้ว เหมือนทางโลกเลย ทุกอย่างทำเสร็จหมดแล้ว แล้วทำอย่างไรต่อไป ทุกอย่างนี่ทำงานเสร็จหมดแล้ว...ก็รอวันตายไง ทุกอย่างทำเสร็จหมดแล้ว ก็รอหมดอายุขัยแล้วก็ตายไปก็เกิดใหม่ เวลาตายไปแล้วไปเกิดใหม่ก็ไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหน แล้วก็บอกว่า นี่ตายแล้วสูญ ไม่มีหรอก ภพชาติไม่มี มรรคผลไม่มี สรรพสิ่งไม่มี...แต่เวลาทุกข์มันมี เวลามันบีบคั้นในหัวใจนี่มันมี เวลาเจ็บแสบในหัวใจนี่มันมี

เวลามันมีขึ้นมานะ มีอย่างไร มีขึ้นมา จะพูดออกไปนะ ดูสิ คนเรามีการศึกษานะ เวลาปฏิบัติไปรู้เห็นสิ่งใดก็ไม่กล้าพูด กลัวบอกว่าตัวเองจะเป็นผู้ที่ไม่มีปัญญา ผู้ที่ว่าเชื่อสิ่งไสยศาสตร์ สิ่งต่างๆ นี่คิดกันไป มันเห็นจริงก็ได้ เห็นปลอมก็ได้ การเห็นนะ เห็นจริงๆ นี่แหละ แต่มันไม่จริง การเห็นนะ ถ้ามันจริงขึ้นมาล่ะ ทำไมจะพูดไม่ได้ นี่เพราะมีครูมีอาจารย์ท่านพูดกันอย่างนี้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ สามเณรน้อยตามพระสารีบุตรไปบิณฑบาต เห็นไหม เวลาถือบาตรพระสารีบุตรไปด้วย เวลาพระสารีบุตรไปบิณฑบาต สามเณรน้อยถือบาตรตามไป เห็นเขาชักน้ำเข้านา

ถามพระสารีบุตรว่า “น้ำมีชีวิตไหม?”

“น้ำไม่มีชีวิต” น้ำไม่มีชีวิต เณรก็คิดนะ น้ำไม่มีชีวิต ทำไมเขาทดน้ำเข้านาได้ สิ่งที่ไม่มีชีวิตแล้วมาทำประโยชน์ได้ นี่ถ้าทำประโยชน์ได้ แล้วหัวใจเรา ความรู้สึกเรามีชีวิต เวลาปัญญามันเกิด ปัญญามันมีวงรอบของมันเกิดแล้ว เพราะว่าจิตใจเวลาคิด ปัญญาอบรมสมาธิ พอจิตมันเป็นสมาธิแล้ว เวลามันคิดเป็นธรรม สัจธรรมนะ กาย เวทนา จิต ธรรม ธรรมารมณ์ นี่เวลามันคิดมันมีสติปัญญา มันคิดของมัน พอพูดถึงจิตใจมันจะย้อนกลับ มันจะทวนกระแสเข้ามา

บอกพระสารีบุตรนะ “ขอให้บิณฑบาตเถิด” ให้เอาบาตรไปคืนพระสารีบุตร แล้วรีบกลับไปที่กุฏิ ไปภาวนา เพราะว่ามันจะเข้าด้ายเข้าเข็มไง เข้าไปภาวนา

พระสารีบุตรบิณฑบาตกลับมา พอฉันเสร็จแล้วจะเอาอาหารมาให้สามเณรน้อย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากั้นไว้ข้างหน้าเลย มาขวางพระสารีบุตรไว้ การขวางพระสารีบุตรท่านก็ไม่บอกตรงๆ นะ ท่านก็ถามพระสารีบุตรนะ ชวนคุยธรรมะไง ธรรมะข้อนั้นว่าอย่างไร ธรรมะข้อนั้น...ชวนพระสารีบุตรคุย พระสารีบุตรก็คุยอยู่นั่นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาคุยกับพระสารีบุตร แต่จิตเล็งญาณหาสามเณรน้อย สามเณรน้อย นี่จิตกำลังรวม กำลังพิจารณาเข้ามา ว่าสามเณรน้อยนี่จิต เวลามรรคญาณมันหมุนเข้ามาแล้ว ธรรมจักรมันหมุนแล้วว่าจะชำระกิเลสได้อย่างไร

พอสามเณรน้อยชำระกิเลสขาด เป็นพระอรหันต์ขึ้นมานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกพระสารีบุตรว่าเอาอาหารเข้าไปถวายได้แล้ว เพราะพระสารีบุตร ลูกศิษย์ไง เป็นห่วงๆ แต่ขณะที่การว่าเป็นห่วง จะไปหาสามเณรน้อย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากันไว้เลย แต่เวลากันไว้ นี่อยู่ในพระไตรปิฎก พูดธรรมะ ชวนคุยธรรมะ เห็นไหม สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณเห็น นี่ไง การปกป้อง ครูบาอาจารย์ที่ท่านดูแล สิ่งที่เห็นว่าถ้าจิตมันหมุนเข้ามา จิตมันเป็นไปของมันขึ้นมา ถ้ามันเป็นไปของมันขึ้นมา มันจะเข้าด้ายเข้าเข็ม มันจะเป็นสัจธรรม

ถ้าสัจธรรมมันเป็นความเป็นจริง เห็นไหม สิ่งที่เวลาตาของใจ สิ่งที่ว่าตาของใจมันไม่บอดนะ มันรู้มันเห็นของมัน รู้เห็นแล้วมันปกป้องดูแล ปกป้องดูแลนะ ให้โอกาส ให้สิ่งนั้น ถ้าพูดถึงถ้าพระสารีบุตรเอาอาหารเข้าไป พออาหารเข้าไปนะ ก็ให้ฉันอาหาร พอฉันอาหารก็ต้องออกมาจากการปฏิบัติ แล้วมันจะเป็นอย่างนั้นไหม นี่พูดถึงว่าคุณภาพของครูบาอาจารย์มันก็แตกต่างกัน ถ้ามันแตกต่างนะ มีคุณภาพ เห็นไหม นี่งานจากภายใน ถ้างานจากภายใน ถ้าใจมันไม่บอด นี่มันไม่ใช่ตาบอดคลำช้าง

แต่ถ้าใจมันบอด ถ้าใจมันบอด เห็นไหม คนตาบอด คนตาบอดนะ ไม่กลัวสิ่งใดเลย เพราะไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นภัย หรือสิ่งใดไม่เป็นภัย ภัยก็ไม่รู้ว่าภัย เป็นประโยชน์ก็ไม่รู้ว่าเป็นประโยชน์ ตาบอดลูบๆ คลำๆ ไป แล้วลูบคลำไปนะ อยู่กันอย่างนั้นน่ะมันมีความสุขสบาย แต่ถ้าคนที่หูตาไม่บอดนะ สิ่งใดที่เป็นโทษเป็นภัย ถึงบอกว่า ถ้าเขาเป็นโรคเป็นภัย เราไม่อิจฉาเขาหรอก ไปอิจฉาทำไม ความเจ็บไข้ได้ป่วยน่ะไปอิจฉาทำไม ความเจ็บไข้ได้ป่วยน่ะ

อกุศล ถ้าลองได้ทำอกุศล ทำความผิดพลาดขึ้นไป สิ่งนั้นมันให้ผลเป็นอย่างไร ผลสิ่งที่จะได้มามันเป็นบาปอกุศลอยู่แล้ว ถ้าบาปอกุศลนะ แต่ขณะที่ทำอยู่นี่ ขณะเขาทำ ทำเหตุและปัจจัย ถ้าเหตุมันเกิดขึ้นมา ผลของมัน มันต้องให้ผลแน่นอน เราไปอิจฉาเขาทำไม ถ้าเราเห็นเขาทำผิดพลาด เขาทำสิ่งนั้นโดยที่ความทิฏฐิมานะนะ จะว่าเขาไม่รู้...เขารู้ เขารู้ของเขา ถ้าเขาทำของเขาอย่างนั้น เห็นไหม นี่ตาบอด ถ้าสังคมอย่างนั้นอยู่กันอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะในเมื่อผู้นำเป็นแบบนั้น ผู้นำสิ่งที่ว่าเป็นลูบๆ คลำๆ อยู่ ทำสิ่งใดไปแล้วมันจะกล่าวเตือนกันอย่างไร

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา เป็นที่หูตาสว่าง ดูสิ ความเข้าใจของจิตมันเห็น มันเหมือน ทางการแพทย์น่ะ เขารู้นะว่าสิ่งใดมันจะทำให้โรคภัยไข้เจ็บมันเพิ่มมากขึ้น สิ่งใดเป็นของแสลง สิ่งใดที่การดำรงชีวิตนี่เขาจะดูแลร่างกายของเขาเพื่อไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วย เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วก็พยายามรักษา พยายามดูแลเพื่อจะให้มันฟื้นตัวขึ้นมา ถ้ามันฟื้นตัวขึ้นมา มันแข็งแรงขึ้นมานะ มันก็ทำได้ จิตใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจของเรา ถ้ามันอ่อนแอ ถ้ามันไม่มีหลักมีเกณฑ์ของมัน เวลาบวชมาแล้ว ปฏิบัติๆ ทำทุกอย่างครบหมดแล้วๆ ทำทุกอย่างครบหมดแล้วนี่มันเป็นกิริยาภายนอก ทำทุกอย่างครบหมดแล้วนี่มันต้องมีสติปัญญา สติปัญญาขึ้นมา ทำครบแล้วนี่มันโปร่งโล่งโถงไหม

ข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม เราทำข้อวัตรปฏิบัติเพื่อสิ่งใด ถ้าทำข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เวลามาภาวนา ทำข้อวัตรเสร็จแล้วมันก็เป็นเวลาส่วนตัวของเรา ถ้าเวลาส่วนตัวของเรา เรานั่งสมาธิภาวนา จิตใจมันลงไหม ถ้าจิตใจมันลงต้องย้อนกลับมาดูศีล ศีลของเรานี่เรามีสิ่งใดผิดพลาด เห็นไหม ดูสิ พระเวลามันผิดศีลขึ้นมา เป็นผู้กระทำ มันเกิดนิวรณธรรม นิวรณธรรมมันกั้นสมาธินะ ถ้าจิตมันกั้นสมาธิ สมาธิมันไม่เป็นไป เห็นไหม พูดด้วยความมักง่าย ด้วยความขี้เกียจ ด้วยความไม่ทบทวน พอด้วยการไม่ทบทวน นี่ตาบอด ถ้าสิ่งที่ใจมันบอดแล้ว มันก็จะถูลู่ถูกังขึ้นไป พอถูลู่ถูกังขึ้นไป

ดูสิ คนที่เครื่องมือของเขามันไม่สมบูรณ์แล้วไปทำงาน งานนั้นออกมานะ ถึงจะเสร็จ งานนั้นก็ไม่สวย งานนั้นก็ไม่เรียบร้อย นี่ถ้างานมันเรียบร้อย ทั้งเครื่องมือมันดี งานนั้นจะเสร็จ ถ้าผู้ที่งานมันเสร็จนะ แล้วถ้าเครื่องมือมันไม่ดี งานมันไม่เสร็จล่ะ งานไม่เสร็จนะ ทิ้งงานกลางคัน งานไม่เสร็จ เราทำไปไม่ได้ วัสดุนั้นเสียหายหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เราไม่ย้อนกลับมาดูตัวเราเลย เราไม่ย้อนกลับมาดูเลยว่าหัวใจมันบอด มันจะดันทุรังของมันไป เวลาปฏิบัติต้องทำได้ๆๆ แต่มันไม่ได้ เพราะเครื่องมือเราไม่ดี เครื่องมือเราไม่สมบูรณ์ ทำสิ่งใดไป ถ้ามันจะเป็นงานขึ้นมานะ มันก็ไม่สมประกอบ มันจะสำเร็จมันก็สำเร็จมาด้วยรูปไม่สมประกอบ แต่ถ้าเราพักล่ะ เรามาตรวจสอบของเรา เครื่องมือของเรา เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา เรากลับมาดูศีลของเรา มาดูแลของเราว่าศีลของเรามันผิดปกติไหม ถ้าศีลของเราไม่ผิดปกติ ถ้าไม่ผิดปกติ เวลาศีลนะ สิ่งใดนะมันด่างพร้อย มันเศร้าหมอง นี่ศีลทะลุ ศีลขาด ศีลมันมีนะ เจตนาไง เจตนาจะทำเจตนาของเรา เห็นไหม มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม กายกรรมเกิดจากมโนกรรมมันคิด ว่ามีมโนกรรม มีความรู้สึกนึกคิดมันถึงได้พูดออกมา มันถึงได้ทำออกมา

ถ้ามันทำออกมา ถ้าคิด แต่ยังไม่ได้ทำ ศีลขาดไหม? ไม่ขาด แต่เศร้าหมองไหม? เศร้าหมอง เวลาศีลนี่มันมีเศร้าหมอง ถ้าเราย้ำคิดย้ำทำมันจะเศร้าหมองของมัน ถ้ามันเศร้าหมองนะ เราสลัดทิ้ง ตั้งสติ พยายาม ถ้าเรารักษาดูแลตรงนี้ เรารักษาดูแลของเรา ถ้ารักษาดูแลของเรา นี่เครื่องมือของเรา เพราะเครื่องมือทางโลกเขา เขาทำหน้าที่การงานของเขานะ ดูสิ เขาต้องมีเครื่องมือของเขาเพื่อประกอบสัมมาอาชีวะของเขา ทั้งๆ ที่ว่าทางการบริหารจัดการเขาก็มีปากกาของเขา แต่เดี๋ยวนี้เขามีคอมพิวเตอร์ของเขา เขาดูแลของเขา เขาต้องมีของเขา เขาต้องสั่งงานของเขาได้

ฉะนั้น ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม นี่เครื่องมือจะรักษาใจของเรา ถ้ามีสติ มีคำบริกรรม เครื่องมือของเรา แล้วเครื่องมือของเรามันสมประกอบไหม ถ้าศีลมันบริสุทธิ์ เรามั่นใจในตัวเรา ถ้าเรามีความมั่นใจในตัวเรา สิ่งนี้มันจะมั่นคงของมัน ถ้ามันคงนี่มันรักษาตัวได้ ดูแลตัวเองได้ แล้วถ้าดูแลตัวเองได้ ทำงานได้ไหมๆ นี่มันไม่ใช่หูตาบอด คนตาบอด ลูบๆ คลำๆ แล้วก็ดันทุรังไป

พอดันทุรังไปมัน...

๑. ปฏิบัติแล้วทำไมจิตมันไม่สงบ ปฏิบัติแล้วทำไมถูลู่ถูกัง ทำไมถูลู่ถูกังเพราะเหตุใด

นี่มันขาดความมั่นใจนะ พอขาดความมั่นใจ เทศน์จนชินหู ฟังจนชินหู พูดจนชินปาก ฟังจนชินหู แต่จิตใจมันด้าน จิตใจมันด้านนะ พูดเต็มปาก ฟังจนชินหู แต่ใจมันด้าน พอใจมันด้านขึ้นมา แต่ถ้าใจมันไม่ด้านนะ เวลาครูบาอาจารย์แสดงธรรมขึ้นมา เสียงมากระทบหู มันทิ่มเข้าไปในหัวใจนะ นั่นก็ใช่ นั่นก็ใช่ เอ ทำไมเราเป็นแบบนี้ นั่นก็ใช่ เราต้องหาเหตุหาผล มันจะพลิกแพลงของมัน นี่จิตใจอย่างนี้มีโอกาส ถ้าจิตใจมีโอกาส เราพัฒนาของเรา จากที่มันมืดบอด หูตามันจะฝ้าฟาง ดีขึ้นมา แล้วหูตามันจะแจ่มใสขึ้นมา ถ้าหัวใจแจ่มใสขึ้นมานะ มันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ

สิ่งใด ครูบาอาจารย์ชี้ความบกพร่องของเรา สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์มาก เป็นประโยชน์กับเรานะ แต่เรายังไม่เข้าใจแล้วยังไม่เชื่อ ยังไม่เชื่อนะ แต่พอปฏิบัติไปๆ สัจธรรมมีอันเดียวน่ะ ถ้าจิตสงบก็คือจิตสงบ ถ้าจิตมันไม่สงบนะ มันฟุ้งซ่านเพราะเหตุใด มันแบกภาระเพราะอะไร แต่ถ้ามันดื้อด้าน ถ้ามันดื้อด้านเราจะแก้อย่างใด

เวลากรรมฐานม้วนเสื่อนะ เวลาปฏิบัตินี่ดี ดีมากๆ เลย แต่เวลามันถดถอยขึ้นมา มันทดท้อถดถอยขึ้นมา มันม้วนเสื่อ พอม้วนเสื่อขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไรต่อไป พอม้วนเสื่อขึ้นมาก็ขี่หลังเสือไง เคยทำได้ๆ จิตมันเป็นสมาธิเป็นอย่างนั้น ปัญญาเป็นอย่างนั้น...เป็นอย่างนั้นแล้วทำอย่างไรต่อไป เป็นอย่างนั้นแล้วเพราะเคยเป็นไง สมาธิไง ดูสิ เครื่องมือเราเคยมีใช่ไหม สิ่งใช้สอยเราเคยมีใช่ไหม เราเคยมี เราเคยใช้ แล้วเดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า ถ้าเดี๋ยวนี้มีมันก็ต้องใช้ประโยชน์เดี๋ยวนี้สิ เราเคยมี เราเคยใช้ แต่มันได้เสื่อมไปแล้ว ก็ขี่หลังเสือ ขี่หลังเสือนะ เพราะอะไร เพราะเราเคยมี เราเคยใช้ แต่มันไม่เป็นผล ไม่เป็นผลตรงไหน

ถ้ามันเกิดมีสติ มันทำให้เกิดสมาธิขึ้นมา พอเกิดสมาธิขึ้นมา เราจะมีเครื่องมือ แต่ใช้ไม่เป็น แต่ถ้าจะใช้เป็นนะ ใช้เป็นมันก็ออกพิจารณา ถ้าออกพิจารณา พิจารณาในอะไร? พิจารณาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม การพิจารณา เห็นไหม เคยมีเครื่องมือ แต่ทำไม่ประสบความสำเร็จ ฉะนั้น ความไม่ประสบความสำเร็จเวลาพิจารณาไปมันถึงไม่รู้ว่าถ้าพิจารณาไปแล้วมันจะเกิดกระบวนการอย่างใด จิตมันจะมีกระบวนการของมัน กระบวนการ เห็นไหม ถ้าจิตมันพิจารณา มันพิจารณาอะไร

ดูสิ ตบมือ ตบข้างเดียวมีเสียงไหม ตบมือต้องมี ๒ ข้างใช่ไหม ระหว่างกิเลสกับธรรม นี่เวลาธรรมมันเกิดขึ้นมา ธรรมมันจะแผดเผา ที่ไหนมีเชื้อไฟ การภาวนาเป็น ภาวนาเป็นหมายถึงว่า ถ้าเราจุดไฟติดใช่ไหม ถ้ากองขยะ ถ้าเราจุดกองขยะไหม้ขึ้นมาได้ กองไฟนั้นมันจะลามไหม้กองขยะนั้นไปเรื่อยๆๆ จนกว่ากองขยะนั้นจะหมด ไฟหมดถึงจะดับ ถ้ากองขยะนั้นไฟมันไหม้ไม่หมด ไฟมันจะดับไม่ได้

นี่เหมือนกัน เวลาพิจารณาไปมันพิจารณาอย่างไร ถ้ามันพิจารณา มันมีกระบวนการของมันไง ฉะนั้น ถ้ามันเคยมีเครื่องมือ เพราะทำความสงบของใจนี่มันกำปั้นทุบดินนะ กำปั้นทุบดินหมายถึงว่า ถ้าเราหิว เราก็กินข้าว พอเราหิวแล้วกินข้าวแล้ว กินข้าวแล้วทำไม ก็จบ มันก็อิ่มไง ฉะนั้น เวลาเราหิว เราก็กินข้าว จิตมันฟุ้งซ่าน จิตมันมีกำลังของมัน เราอดนอน เราผ่อนอาหาร ผ่อนอาหารเพื่อไม่ให้ธาตุขันธ์มันทับจิต ถ้าไม่ให้ธาตุขันธ์ทับจิต พอเราผ่อนอาหาร ผ่อนอาหารเพื่ออะไร? ผ่อนอาหารเพื่อไม่ให้กิเลสมันเข้มแข็ง ไม่ให้กิเลสมันทรงตัวของมัน ให้มันยุบยอบลง ถ้ามันยุบยอบลงนะ

เพราะถ้าเราหิว กิเลสมันก็หิวด้วย เวลาเราทุกข์ กิเลสมันก็ทุกข์ด้วย แล้วถ้าเราภาวนาของเรานะ ถ้าจิตมันเข้มแข็งขึ้นมา มันจะเกิดความสงบของใจ นี่กำปั้นทุบดิน กำปั้นทุบดินหมายถึงว่ามันมีของมัน มันเป็นของมัน ฝนตกมันต้องมีน้ำ แดดออกมันต้องมีความร้อน จิต เวลามันฟุ้งซ่านขึ้นมา มันกำปั้นทุบดินนี่ ถ้าจิตมันสงบ

แต่! แต่ถ้าพอมันพิจารณาไป พอจิตมันสงบ นี่เครื่องมือไง เคยมีๆ แต่ใช้ไม่เป็น ถ้าใช้ไม่เป็น ใช้ไม่เป็นหมายถึงว่า พิจารณาไม่เป็น พิจารณาไม่ได้ พอพิจารณาไม่ได้ขึ้นมา มันมีกระบวนการอย่างไรต่อไป จุดไฟ ขยะก็คือขยะ เวลาเขาบอกจุดไฟ จุดไฟกองขยะให้ติด มันก็คิดว่ามันจุดไฟกองใหญ่ แต่ไม่เคยติด พอไม่เคยติดก็ไม่มีการเผาไหม้ ถ้าไม่มีการเผาไหม้ มันก็ไม่มีการทำลายกัน ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา มันพิจารณาของมัน มันจะมีกระบวนการของมัน ถ้ามีกระบวนการของมัน นี่ถ้าหูตาไม่บอดนะ ถ้ามีหูตาสว่าง มันจะเห็นกระบวนการระหว่างการทำความสงบของใจ

ถ้าใจมันสงบ สงบแล้ว เพราะถ้าทำใจสงบ ถ้าทำจิตใจเราอ่อนแอ จิตใจเราอ่อนด้อย เราว่าเราก็เคยทำแล้ว ทุกคนบอกว่าใช้ปัญญาแล้ว พอใช้ปัญญา จิตมันสงบแล้วค่อยนิพพาน นิพพานแบบนี้นิพพานดิบๆ คำว่า “แชร์นิพพานๆ” เขาก็เอาอย่างนี้มาพูดกัน แล้วมันกำปั้นทุบดิน ทุกคนมีใช่ไหม ทุกคนมีความคิด ทุกคนมีความฟุ้งซ่านในหัวใจ แล้วทุกคนมีสติปัญญา จัดกระบวนการความคิดให้มันสงบลง...นิพพานหมดเลย ถ้านิพพานหมดเลยอย่างนี้ ฤๅษีชีไพรในสมัยพุทธกาลก็นิพพาน

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดนะ ปฏิเสธนิพพานแบบกำปั้นทุบดินแบบนี้ แต่กำปั้นทุบดิน เพราะมันมีจริงๆ นะ ทุกคนมีความคิด ทุกคนมีความวิตกกังวล ทุกคนมีอวิชชาเผาลนหัวใจ แล้วพอมาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระบวนการความคิดมันจับรวบรวมขึ้นมา กระบวนการความคิดมันเรียบเรียงขึ้นมา ก็บอกว่า นี่เป็นธรรมๆ

ใช่ มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์คือว่ากระบวนการของมันเป็นแบบนั้น แล้วเราไปจดจำกระบวนการของมันมา แล้วเราพยายามทำใจของเรา นี่สร้างภาพ สัญญา ทำให้เหมือน ว่ากระบวนการเป็นแบบนั้น อย่างนั้น แต่มันไม่เป็น ไม่เป็นเพราะอะไร เพราะมันไม่มีกระบวนการ ไม่มีการเผาไหม้ ไม่มีการทำลาย เครื่องมือมันทำงานออกมาไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา นี่หูตาสว่างมันหูตาสว่างอย่างนี้

ไม่ใช่คนตาบอดนะ ตาบอดคลำช้าง ทำแต่ลูบๆ คลำๆ กันไป แล้วเวลาลูบๆ คลำๆ กันไป มันเป็นจริงนะ มันเป็นจริงแล้วกระบวนการมันรู้ได้ง่ายๆ รู้ได้ง่ายเพราะว่าโดยกระบวนการของทุกคนมีความคิดอยู่แล้ว ทุกคนมีความคิด ทุกคนมีความวิตกกังวลอยู่แล้ว ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา กระบวนความคิดนั้นมันก็สงบตัวลง เท่านั้นเอง นี่กำปั้นทุบดิน ปัญญาอย่างนี้เป็นโลกียปัญญา ปัญญาอย่างนี้มันเป็นสามัญสำนึกที่มีอยู่ทุกคน ทุกคนมีอยู่แล้ว ธรรมะไม่ได้สอนแค่นี้หรอก หูตาบอดแล้วทำกันแค่นี้แหละ แต่ธรรมะมันลึกซึ้งกว่านี้

ครูบาอาจารย์ของเราบอกทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ทำความสงบของใจก็เท่านี้แหละ ที่กำปั้นทุบดิน ที่โลกเขาทำกันอยู่นี่กำปั้นทุบดิน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วกระบวนการของทางโลกเขา เขาบอกว่า ก็ปฏิบัติแล้วสบายไง ปฏิบัติแล้วทุกคนปฏิบัติแล้วดีหมดเลย...ดีแบบนี้ดีอะไร ดีแบบนี้เป็นดีอะไร ดีแบบคนตาบอดไง ดีแบบคนตาบอด คนตาบอด เห็นไหม ไม่รู้สิ่งใดว่าเป็นโทษเป็นภัยเลย เดินไปนี่ต้องชนกับสิ่งวัตถุข้างหน้าแน่นอน แล้วพอชนขึ้นไปแล้วก็บอกมันไม่มี มันไม่มี...มันไม่มีนี่หัวแตก มันไม่มี นี่ไง ตาบอดคลำช้าง ถ้าตาบอด มืดบอดนะ

แต่ครูบาอาจารย์ของเราไม่มืดบอด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย หูตาสว่าง ถ้าหูตาสว่าง ยิ่งฟังนะ มันยิ่งขำ จริงๆ นะ ฟังเทศน์ในปัจจุบันนี้ ฟังแล้วขำๆ วนกันอยู่นั่นน่ะ มันไม่มีสิ่งใดลึกซึ้งที่เข้าไปถึงอวิชชาเลย ไม่มีสิ่งใดที่เป็นสัจธรรมในศาสนาเลย มันเหมือนฤๅษีชีไพรคุยกันแล้ว แค่ทำความสงบของใจอย่างนั้น นิพพานๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่เพราะกระบวนการของมันเป็นแบบนั้น

ถ้าพูดถึงคนรู้จริงเขาเห็นของเขา ว่ากระบวนการ อย่างเช่นเรา เราจะได้เงินมา ได้เงินมาอย่างใด คนจะมีเงิน ข้าราชการเขาทำงานสิ้นเดือนเขาได้เงินเดือนของเขา ทำงานออฟฟิศก็ได้เงินเดือนของเขา เป็นกรรมกร เราก็ทำงานของเราถึงว่าเราก็ได้เงินของเรา ผู้ที่ทำธุรกิจการค้า เขาทำธุรกิจการค้าแล้วเขาก็เก็บเงินของเขา นี่มันต้องมีที่มาที่ไปสิ เงินน่ะ เงินนี่นะ เงิน

ทีนี้เราพอเป็นกระบวนการตาบอดคลำช้างนะ เงิน เงินก็ปั๊มเงินไง เงินก็ฉ้อฉลเขามาไง คือเงินไม่มีที่มาที่ไปไง เขาตรวจสอบนะ เขาตรวจสอบว่าเงินนี้มาจากไหน ธรรมะที่มีในหัวใจนี่ใครมีมรรคมีผล มันทำมาอย่างใด ถ้าบอกไม่ได้ ถ้าบอกวิธีการของตัวไม่ได้ มรรคผลนั้นเลื่อนลอย มรรคผลนั้นไม่มี มรรคผลไม่มีหรอก มรรคผลมีนะ มันต้องมีที่มาที่ไป เหมือนกับเขาตรวจสอบเงินทองว่าอันนี้มาจากไหน ทำธุรกิจสิ่งใดมา ถ้าไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ได้รับมรดกมาจากใคร มรดกนั้นเขาให้มาด้วยสายเลือด ให้มาด้วยความเสน่ห์หา ให้มาด้วยสิ่งใด แล้วการให้มรดกมา ให้มรดกมา ผู้ที่รับมรดกใช้มรดกไม่เป็น ก็รักษามรดกนั้นไว้ไม่ได้ แต่ถ้าผู้ที่ทำมาหากิน ผู้ที่อาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมา นี่ไง กระบวนการของมันมันมีอย่างนี้ มันถึงไม่ใช่ตาบอดคลำช้าง มันจะเป็นความจริงของมัน ความจริงนะ ความจริงจนมีการกระทำ จนพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์

มันซึ้งใจ ๒ ประเด็น

ประเด็น ๑. คือว่าเกิดจากโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าบวชให้ เหมือนลูก จากพ่อแม่กับลูก นี่มีลูกแล้ว แล้วลูกยังประสบความสำเร็จ นี่บวชให้แล้ว แล้วยังปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ นี่มัน ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ มันถึงเป็นความอบอุ่น

พระอรหันต์ทุกองค์ จะมีคราวหนึ่งเป็นการวัดบารมีว่า พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีอำนาจวาสนามากแค่ไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมของเรานี่อยู่ในพระไตรปิฎกบอกว่า เราอำนาจวาสนาน้อย อายุก็สั้น ๘๐ ปี เวลามาฆบูชานี่ก็ ๑,๒๕๐ องค์ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ นะ นี่เวลามาฆบูชาเป็นหมื่นนะ หลายๆ หมื่นเลย นี่สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องของวัฏฏะ เรื่องของผลของเวรของกรรม

แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ แล้วเราพบเห็นอยู่แล้ว สิ่งนี้เราเอามาเตือนใจเรา แล้วเราทำแล้วนี่ เราต้องทำจริง เห็นไหม เราเป็นปัญญาชน เราเป็นสุภาพบุรุษ นี่เราเป็นบริษัท ๔ ทำสิ่งใดมันต้องให้เป็นข้อเท็จจริง เป็นสมบัติของเราจริงๆ เราถึงรู้จริงเห็นจริง แล้วแก้กิเลสของเราจริงๆ ไม่ใช่ว่าไปฉกฉวยเอาสมบัติของคนอื่นแล้วเอามาเป็นสมบัติของเรา ไปฉกฉวยมานี่ มันไม่เป็นประโยชน์หรอก นี่การที่เราฟังธรรมกันนี่ ฟังธรรมไว้เป็นแง่มุม เวลาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังธรรมของหลวงปู่มั่น เห็นไหม หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศนาว่าการนะ พระเงียบกริบ เพราะสมัยหลวงปู่มั่นมันไม่มีคู่แข่ง คือไม่มีใครมีความรู้เท่าหลวงปู่มั่น แล้วมีหลวงปู่มั่นอยู่องค์เดียวนี่ มันพูดอย่างไรใครก็ฟัง

แต่ในปัจจุบันนี้เวลาครูบาอาจารย์ของเราเทศนาว่าการมา นี่มันมีหนังสือมีหนังหา มีทุกอย่างพร้อม พูดกันแจ้วๆ แจ้วๆ เลย แต่ไม่มีสาระ ถ้ามีสาระ เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าธรรมเวลาแสดงธรรมนะ ถ้าธรรมมีเนื้อหาสาระนี่มันมากับเสียงนั้น ถ้าพูดปาวๆ มันไม่มีเนื้อหาสาระในนั้นเลย มันมีเสียงเปล่าๆ ลมพัดใบไม้ไหว

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะ ดูสิ เวลาเมฆฝนมันมานี่ มันจะหอบเอาฝนมา ถ้าเอาฝนมานะ มันตกลงแล้วที่ไหนนะมันจะชุ่มชื่น มันจะเกิดธัญญาหาร มันจะเกิดประโยชน์กับชีวิต มันจะเกิดทุกอย่างไปหมดเลย

แต่ถ้ามันมีแต่ลมมาไม่มีสิ่งใดมาเลยนี่ มันไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย เพราะมันไม่มีธรรมในหัวใจนั้น ฉะนั้นสิ่งที่เราทำนี่ เราถึงจะทำให้มันเป็นความจริง เราไม่ใช่เป็นคนตาบอดนะ ถ้าตาบอดคลำกันไป แล้วพอตาบอดคลำแล้วนี่ เห็นไหม ตาบอดต้องการคนจูง ถ้าคนจูงตาบอดด้วย มันก็จูงกันไป เห็นไหม

เราอยากมีคนจูง แต่คนจูงนั้นต้องตาดี ตาดีที่ไหน ตาดีที่เวลาเราปรึกษาธรรมนี่ เรามีสติ เรามีปัญญานะ ฟังก็รู้ ดูก็ออก ฟังก็รู้นะ พูดออกมานี่ฟังรู้เลย ว่านี่ตาบอดหรือตาดี คนตาบอดใช่ไหม เหมือนคนที่ไม่เข้าใจทางทฤษฎีใดๆ เลย นี่ เขาพูดออกมาจะมีผิดพลาดไปทั้งนั้นล่ะ

แต่ถ้าเขารู้จริงของเขาแล้วนะ ทฤษฏีนั้นนะเขาพูดจากความรู้สึกเขาของเขานะ ทฤษฏีคือทฤษฏี แต่ความจริงของเขาลึกกว่าทฤษฏีนั้นอีก ทฤษฏีนั้นทำมาแล้วมันจะมีกระบวนการอย่างไร เหมือนกับการเผาขยะ กระบวนการของมัน เครื่องมือคือ ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เป็นเครื่องมือ ถ้าเป็นเครื่องมือแล้ว เครื่องมือมีการกระทำไหม ถ้ามีการกระทำมันก็มีอริยสัจ มีสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริงมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม ชาติปิ ทุกขา ชาติ ความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เห็นไหม นี่ ทุกข์ สมุทัย

สมุทัยคือตัณหาความทะยานอยาก นี่แล้วเกิดนิโรธ นิโรธเกิดอย่างไร นิโรธเกิดจากมรรคญาณ มรรคญาณมันคืออะไร นี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเกิดขึ้นมาอย่างไร แล้วสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ทุกคนก็ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม นกแก้วนกขุนทองก็ท่องได้ ให้มันท่องสิ กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วให้กล้วยมันชิ้นหนึ่ง มันท่องทั้งวันเลย นกแก้วท่อง กาย เวทนา จิต ธรรม กับคนท่องมันต่างกันตรงไหน นกแก้วเวลามันท่อง กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วมันก็ได้กล้วยชิ้นหนึ่ง นกขุนทองท่องมันก็ได้ชิ้นหนึ่ง แล้วคนท่องกับนกท่องมันต่างกันตรงไหน

แต่ถ้าคนเป็นนะ คนมันทำขึ้นมานี่ นกแก้วมันท่อง มันไม่รู้ แต่คนที่เขาหูตาสว่างนี่ เขาทำของเขา กายเป็นอย่างไร กายเป็นซากศพอย่างนั้นหรือ กายเกิดขึ้นมาจากจิต เวลาจิตมันเห็นมันเห็นอย่างไร กระบวนการ การกระทำมันเป็นอย่างไร ถ้าเกิดเวทนาล่ะ ถ้าเวทนา ถ้าจิตมันมีสมาธิของมัน เห็นไหม มันจับเวทนาพลิกคว่ำพลิกหงายได้เลย

เวทนามันคืออะไร มันแยกแยะเวทนาได้หมดเลย แต่ถ้ามันไม่มีสมาธินะ พอเวทนามันเกิดนะมันก็โอดโอยแล้ว นี่แล้วเกิดจิตผ่องใสจิตเศร้าหมอง มันเศร้าหมองอย่างไร แล้วเวลามันเกิดธรรมารมณ์มันพิจารณาของมัน เห็นไหม นี่เวลามันเกิดขึ้น กระบวนการของมันมีการกระทำของมัน นี่หูตาสว่าง

นี่ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำของท่านมานะ พอท่านทำมานี่ เวลาท่านฟังพวกเราคุยกันเห็นไหม เวลาพระสนทนาธรรมกัน ถ้าผู้รู้เขาเดินผ่านมานะ เขาฟังแล้วนะ เออ ถ้ามันมีเหตุมีผล ฟังแล้วมันจะชุ่มชื่นในหัวใจว่า ในสังคมสงฆ์ยังมีความขวนขวายกันอยู่ ยังมีการปฏิบัติกันอยู่ ยังมีคนสนใจแล้วค้นคว้า มีการกระทำความเป็นจริงอยู่

แต่ถ้าในสังคมสงฆ์ เวลาเขาคุยกันนะ คุยกันแต่เรื่องสัพเพเหระ คุยธรรมะก็คุยแบบไสยศาสตร์ นี่ครูบาอาจารย์ท่านเดินผ่านชุมชนนั้นไปนะ ท่านจะเกิดความเศร้าหมอง ท่านจะเกิดความอัดอั้นตันใจว่า สังคมสงฆ์มันจะกุดด้วน

เวลาบวชขึ้นมา มันก็บวชแต่ร่างกาย บวชแต่พิธีกรรม แต่หัวใจที่มันจะเป็นพุทธะ หัวใจที่มันจะเป็นความจริงในศาสนา นี่เห็นไหม มันมืดบอด มันมืดบอดเพราะมันโดนอวิชชา โดนสัญญาอารมณ์ โดนตัณหาความทะยานอยากในหัวใจที่มันมีกำลังมากกว่าปกคลุม แล้วเข้าใจผิดๆ ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ เพราะความอ่อนด้อยของหัวใจ

ถ้าหัวใจมันอ่อนด้อย ไม่มีกำลังนะ สิ่งใดเกิดขึ้น มันเชื่อง่าย มันเชื่อสัญญาอารมณ์ที่มันป้อนให้หัวใจนั้นคิดไป

แต่ถ้าคนที่มีปัญญานะ สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาเราก็รู้อยู่ เราก็ได้สัมผัสมันมาอยู่ เราเป็นอย่างนี้มากี่ครั้ง กี่หน แล้วมันให้ประโยชน์สิ่งใดเรา ถ้าเราตั้งสติขึ้นมานะ สิ่งนั้นมันเป็นความจอมปลอมนี่ เวลามันตรวจสอบกันด้วยสติปัญญานี่ มันคงอยู่ไม่ได้หรอก ความคิดมันเกิดจากจิตนี่ มันโดนสติปัญญาตรวจสอบนี่ มันจะอยู่กับจิตนี้ไม่ได้หรอก มันต้องดับไป แล้วมันดับไปมันเหลืออะไร ถ้าความรู้สึกนึกคิดนี้ดับไป แล้วมันเหลืออะไร

ความเหลือสิ่งนั้น มันถึงจะเป็นธาตุรู้ เห็นไหม ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะ ถ้าผู้รู้ เห็นไหม ดูสิ ถ้าผู้รู้มันโดนสัญญาอารมณ์ โดนความรู้สึกนึกคิดครอบงำมันอยู่ แล้วเรามีสติปัญญาพิจารณาใคร่ครวญของมัน เห็นไหม แล้วถ้าผู้รู้มันดับไปมันเหลืออะไร นี่ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาปัญญาเขาใคร่ครวญความรู้สึกของเขานี่ เวลาปัญญาพิจารณาแล้วนี่ ปัญญามันปล่อย มันเหลืออะไร ใครเป็นคนคิด แล้วใครเป็นคนปล่อย ใครเป็นคนจุดกองขยะ ใครเป็นคนเผาไหม้กองขยะนั้น ใครเป็นคนดูแลกองขยะนั้น นี่ไงตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันพิจารณาของมัน ทำได้นะ

นี่ถ้าหูตาสว่างๆ ไม่ใช่มืดบอดนะ ตาบอดคลำช้าง แล้วเราก็มืดบอดกันมา ถ้าไม่มืดบอดกันมา เราจะไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ พอเราเกิดมาเป็นมนุษย์ อย่างที่เทวดาเขาอวยพรกัน เวลาเทวดาเขาจะหมดอายุขัย เขาจะอวยพรนะ เพราะเทวดาเขามีปัญญาได้แค่นั้น ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์เถิด แล้วเกิดเป็นมนุษย์ให้ได้พบพระพุทธศาสนา จะได้ทำคุณงามความดี ให้กลับขึ้นมาเกิดเป็นเทวดาอีก เห็นไหม นั้นสิ่งที่เทวดาเขาอวยพรกัน

ฉะนั้น เราได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว พอเราได้เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม แล้วได้พบพระพุทธศาสนา ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม นี่เราจะใคร่ครวญให้เป็นข้อเท็จจริง ให้มันสว่าง เห็นไหม “จกฺขุ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ” โลโกความโล่งโถง เห็นไหม มีวิชชา มีญาณหยั่งรู้ ให้เกิดขึ้นมาจากใจของเรา

ถ้ามันเกิดขึ้นมาจากใจของเราเห็นไหม ถ้ามันเกิดขึ้นมาในใจของเรา เรารู้จริงแล้วเราจะหวั่นไหวไปกับสิ่งใด สิ่งใดมันจะมีค่ากว่าปัญญาในพระพุทธศาสนาที่กลับมาชำระทำให้จิตใจนี่สะอาด มันจะเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาอีก เห็นไหม เกิดพบพระพุทธศาสนาแล้วปฏิบัติให้มันเป็นธรรมขึ้นมา พอจิตใจเป็นธรรมขึ้นมานะ “ธรรมเหนือโลก” ธรรมเหนือโลกนะ

เพราะถ้าธรรมชาติๆ มันเป็นวัฏฏะ มันจะหมุนไปตามโลก วัฏฏะคือการหมุนเวียนในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่สามโลกธาตุคือธรรมชาติ ความหมุนเวียนไป นี่พอธรรมมันพิจารณาขึ้นมามันเหนือ มันสลัดทิ้งหมด มันเหนือโลก เหนือวัฏฏะ มันถึงวางวัฏฏะได้

ถ้าวางวัฏฏะได้นะ เราปฏิบัติของเราไปนี่ เราจะประสบความสำเร็จ จะหูตาสว่าง เราจะเป็นสาวก-สาวกะ นี่เป็นศากบุตรพุทธชิโนรส ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าเราทำขึ้นมา เห็นไหม เราเป็นสงฆ์ เราเป็นรัตนะ เราเป็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่รัตนตรัย เราจะเกิดธรรมในหัวใจ พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมลงที่ใจ จะเป็นคุณสมบัติของเรา เอวัง